เรียกได้ว่าก่อนหน้านี้สำหรับการเมืองไทยที่ผ่านมา ต้องบอกเลยว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ครั้งแรก” ในรอบ 6 ปีของการเมืองไทย
ที่ประชาชนจับตานั่งหน้าจอรับฟังทั้งทางโทรทัศน์ และไลฟ์สดผ่านสื่อโซเชียล อย่างไม่ให้คลาดสายตาสักวินาทีเดียวส่ง อภิปรายไม่ไว้วางใจ
ขึ้นเทรนต์ในทวิตเตอร์ตลอดการอภิปราย และงานนี้ใช่ว่าจะมีแต่ ส.ส.ชายที่เป็นดาวเด่นในศึกซักฟอกอย่าง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ
อดีตพรรคอนาคดใหม่ที่ออกมาอภิปราย เรื่องปฏิบัติการไอโอ และในวันนี้เราจะพาทุกคนมาชม 5 “ส.ส.หญิงตัวตุงสภา” หลายคนที่ลุกขึ้นมาอภิปราย
กับลีลาที่น่าเชื่อถือ ข้อมูลแน่น พูดจาฉะฉานด้วยความมั่นอกมั่นใจ ปล่อย “หมัดเด็ด” เสยคางรัฐบาลบิ๊กตู่รัวๆ โดยจะมีใครบ้างนั้นมาเริ่มที่คนแรก
นั่นคือ สส.เจีียบ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆของกองทัพ
ว่าไม่อาจไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บุคคลที่มีอำนาจ แต่ไร้ทั้งความสามารถและความรับผิดชอบ ใน 3 ประเด็น
อมรัตน์ กล่าวถึงความไม่ชอบมาพากลในโครงการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.9 ที่ค่ายภูมิพล จ.ลพบุรี โดยได้กล่าวถึงที่มาของงบประมาณที่สูงราว 60 ล้านบาท
ว่า ประชาชนต่างตั้งคำถามว่าเหตุใดถึงใช้งบประมาณจำนวนมาก ทั้งที่สร้างเพียงแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ และปรับภูมิทัศน์ เท่านั้น ตอนท้ายนางอมรัตน์
ยกกระจกมอบให้นายกฯ และกล่าวว่า “ขอให้นายกฯส่องกระจก เวลาชี้หน้าใครว่าก่อความไม่สงบ เที่ยวชี้หน้าใครว่าไม่มีมารยาท ไม่รักชาติให้มองที่กระจกบานนี้
และเวลาที่ท่านว่าใครว่าไม่อ่านประวัติศาสตร์ ก็ขอให้มองกระจกบานนี้ ทั้งหมดคือคนในกระจก” จากนั้น นางอมรัตน์ได้เดินจากที่นั่งตรงที่ใช้อภิปราย เพื่อนำกระจกไปยื่นต่อหน้านายกฯ
ต่อมาคนที่ 2 นั่นคือ สส. น้ำ จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยอภิปรายถึงการบริหารประเทศแบบลุแก่อำนาจ โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44 สมัยเป็นนายกฯ
และหัวหน้าคสช. ออก คำสั่งระงับกิจการเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศส่งผลให้บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ต้องยุติกิจการรวมทั้งเป็นเหตุให้บริษัท คิงส์เกต
คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นใหญ่ตัดสินใจฟ้องรัฐบาลไทยหากไทยแพ้คดีต้องชดใช้ค่าเสียหายกว่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22,500 ล้านบาท พร้อมเปิดเอกสารลับที่สุด
นำผลประโยชน์ของชาติ หรือทรัพยากรของชาติมหาศาล ไปแลกเพื่อให้พ้นการแพ้คดี ต่อมาคนที่ 3 นั่นคือ สส. ไหม นส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่
ซึ่งอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่ามีพฤติกรรมทุจริตเชิงนโยบาย เอื้อประโยชน์เอกชน จนเป็นผลความเสียหายและงดเว้นการใช้อำนาจ
หลับตาข้างหนึ่งต่อการกระ ทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายระหว่างรัฐกับเอกชน กรณีเร่งรีบออก พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อเอื้อเอกชนรายหนึ่งเข้าประมูลดิวตี้ฟรี
ในบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(ทอท.) จนไม่เกิดการแข่งขัน ส่งผลต่อส่วนแบ่งรายได้ที่จะเข้ารัฐ อีกสิ่งที่สส.ไหม ศิริกัญญาได้รับเสียงชื่นชมคือ การอภิปรายที่สุภาพ ไม่มีคำหยาบคาย
เธอหัวเราะก่อนบอกว่า “คงเป็นบุคลิกได้มาจากการเป็นนักวิชาการ นักวิจัยมาก่อน” ซึ่งเคยทำงานเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน และนักวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ที่ดีอาร์ไอ) ต่อมาคนที่ 4 นั่นคือ สส.ข้าวฟ่าง สรัสนันท์ อรรณนพพร ส.ส.หญิงฝ่ายค้าน ขอนแก่น พรรคเพื่อไทยในศึกซักฟอกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ได้กลายเป็นอีกหนึ่งวิวาทะเด็ดที่ได้รับความสนใจจาก
ประชาชน มีการบอกต่อและแชร์วาทะดังกล่าวออกไปอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ รวมไปถึงวาทะอื่นๆ ของเธอที่ได้รับกระแสชื่นชมไม่น้อยว่า “ตรงใจ” ด้วยมีเนื้อหาการอภิปรายถึงเรื่องที่ประเทศไทย
มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 1 ของโลกนั้นมาจากการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาลปัจจุบัน การชักศึกเข้าบ้านด้วยการอุ้มชูภาคเอกชนรายใหญ่ (ในที่นี้ใช้คำว่า “เจ้าสัว” ให้มากอบโกยผลประโยชน์
ภายในประเทศ แทนที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการคนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่เคยให้ความสำคัญ ดังวาทะที่ว่า “ดิฉันไม่สามารถไว้วางใจที่จะให้นายพลที่เกษียณแล้ว แถมยังไม่มีความช่นาญทางด้าน
เศรษฐกิจและเพิ่งเริ่มหัดใช้กูเกิลมาบริหารประเทศในโลกยุคดิจิทัล” และเธอนั้นเป็น”ดาวสภา” กับ วาทะ “3 ไร้” ที่ว่า “ดิฉันจะให้ 3 คำ เมื่อดิฉันนึกถึงนายกฯ ที่ชื่อประยุทธ์จันทร์โอชา นั่นคือ
ไร้น้ำยา ไร้ประสิทธิภาพ และไร้วิสัยทัศน์” เรียกได้ว่าหมัดหนักมาก และคนที่ 5 นั่นคือ “ส.ส.อิ่ม” ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ส.ส.กทม. เขตลาดกระบัง พรรคเพื่อไทย ฝีไม้ลายมือในสภาไม่
เป็นสองรองใคร ลีลาการอภิปรายชี้แจง ตอบโต้ฉะฉานด้วยความที่เป็น ส.ส.มาแล้วสองสมัย และทั้งสองสมัยได้คะแนนเลือกตั้งอันดับหนึ่งในเขต กทม.ของพรรคเพื่อไทยทั้งสองครั้งด้วย
นอกจากนี้ ส.ส.อิ่ม ยังได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญอย่างคณะกรรมการในวิปพรรคร่วมฝ่ายค้าน และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 และกับการปรับโครงสร้างคณะ
กรรมการบริหารพรรค ส.ส.อิ่ม ก็ได้รับความไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้เหรัญญิกพรรค และล่าสุดเธอ กลายเป็นหนึ่งเดียวของ ส.ส.เพื่อไทย ในกรุงเทพมหานคร ที่สามารถฝ่ากระแสฟีเวอร์ ของพรรค
ก้าวไกลมาได้อย่างหวุดหวิด โดยได้รับชนะด้วยคะแนน 34,749 คะแนน มีคะแนนนำห่างจากลำดับ 2 นายชุมพล หลักคำ หมายเลข 9 ผู้สมัครพรรคก้าวไกล เพียง 4 คะแนน เท่านั้น
